เรื่องเล่า บล๊อกเล่าผี
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
เปรตที่ปากน้ำ
“สมชาย” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปากน้ ำแม่กลอง ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยั งไม่ถึงกับแก่ อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นนะค รับ อย่าไปคิดอะไรมาก นักกีฬาทีมชาติบางท่านอายุตั้ง 55-56 ปีแล้ว มาออกทีวีเห็นแล้วยังตกใจ…ขนาดท ่านอาวุโสกว่าผมเกือบ 10 ปียังดูหนุ่มกว่าผมซะด้วยซ้ำไป!
กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเช้า-เย็น วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง จนกว่าเหงื่อจะซึมแผ่นหลัง ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกม าอย่าสูบบุหรี่ เพราะควันพิษทำให้เกิดโรคร้ายได ้เป็นร้อย! อย่าดื่มสุรา…แอลกอฮอล์วันละ 1-2 แก้วอาจจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลื อดได้ดี เกิดความกระปรี้กระเปร่า หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ผมว่าอย่าไปข้องแวะกับน้ำเมา ดีกว่า เพราะดื่มเข้าไปแก้วสองแก้วแล้ว มักจะติดลม เตลิดไปเป็นกั๊กเป็นแบน หรือกลายเป็นกลมได้ง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด แอลกอฮอล์ก็จะไปสะกดต่อมสามัญสำ นึก หรือความรู้สึกรับผิดชอบให้หยุด ทำงาน ที่ว่ากินเหล้าแล้วไม่อายก็เพรา ะพิษสงของไอ้ต่อมนี้เอง!
เปรตปากน้ำ
เปรตปากน้ำ
พูดแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัย วัยรุ่น ยอมรับว่าแสบสันต์ตามยุคตามสมัย พอๆ กับสมัยนี้แหละน่า แต่ไม่ถึงกับยกโขยงมายึดถนนแข่ง มฤตยู หนวกหูชาวบ้าน จนเขาแช่งชักหักกระดูกไปถึงพ่อถ ึงแม่โน่นแน่ะ ตอนนั้นผมยังอยู่บางบอนครับ เคยเล่ามาแล้วว่าสมัยก่อนยังเปล ่าเปลี่ยวน่ากลัวเพิ่งจะสร้างถน นขึ้นหยกๆ คนมีเงินเริ่มซื้อรถเก๋งรถกระบะ ออกมาฉุยฉายใช้สอยกันหนาตาขึ้นท ุกที ใครค้าขายก็ได้รถนี่แหละช่วยให้ เดินทางไปซื้อขายได้สะดวกง่ายดา ยยิ่งกว่าเดิม
พูดก็พูดเถอะ คำว่ารถยนต์นี่ยังเป็นเสน่ห์ของ ผู้ชาย เป็นแม่แรงดึงดูดผู้หญิงให้เข้า มาหาได้ทุกยุคทุกสมัย…ผมเองยังว ัยรุ่นที่เที่ยวเตร่ไปวันๆ ไม่มีปัญญาซื้อรถเก๋งหรือรถกระบ ะกับเขาหรอกครับ แต่ก็ได้อาศัยขึ้นรถไปเที่ยวกับ พี่เติบแกบ่อยๆ รายนี้รูปหล่อพ่อรวย แถมจีบผู้หญิงเก่งอีกต่างหาก!! มีแฟนอยู่ที่บางบอน 2-3 คนยังไม่พอ พี่เติบไปได้แฟนคนใหม่ถึงปากน้ำ แม่กลองโน่นแน่ะ…ผมติดรถแกไปซื้ อของสวนมาขายส่งมั่ง ไปเที่ยวหาน้ำตาลกินมั่ง จะเมามายแค่ไหนไม่ต้องห่วง เพราะพี่เติบคอแข็งใจแข็ง แม้ว่าจะเป็น “ขาหญิง-ขาเมา” แต่นิสัยใจคอออกลูกนักเลงได้การ คืนนั้นเราไปบ้านเมียใหม่พี่เติ บโดยไม่ได้ตั้งใจ…เพราะความเมาแ ท้ๆ ที่ทำให้พี่เติบกับผมไปซื้อของท ี่นครปฐม แล้วแวะหาอะไรกินกันคนละแบนใหญ่ จะออกรถมุ่งหน้าไปปากน้ำแม่กลอง ยังอุตส่าห์ซื้อติดรถไปอีกต่างห าก
ท้องฟ้าสะพรั่งไปด้วยดวงดาวเมื่ อเราไปจอดรถอยู่ใกล้ๆ วัดประจันตคาม ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นทะมึนขึ้นไ ปบนฟ้า สายลมพัดโชยมาเยือกเย็น สรรพสิ่งเต็มไปด้วยความเงียบเชี ยบ…มองเห็นเจดีย์สีคล้ำเสียดยอด อยู่ใกล้กำแพงวัด ผมรู้สึกเยือกเย็นอยู่ในหัวใจอย ่างบอกไม่ถูก พิษเหล้าก็ดูเหมือนจะหายไปเกือบ หมดสิ้น หยิบขวดใหม่มาเปิดฝา แหงนหน้ากรอกเหล้าลงคอพลั่กๆ เพื่อเติมความหาญกล้าให้ตัวเองซ ักเล็กน้อย…ขณะที่ใช้หลังมือปาด เหล้าที่มุมปากก็พอดีมองเห็นภาพ นั้นเข้าเต็มตา…
นั่นคือ ตาลดำๆ สองต้นกำลังโยกเยกไปมา ท่าทางเหมือนเป็นขาที่กำลังจะก้ าวเดินอย่างนั้นแหละ แว่วเสียงวี้ดๆๆ มาพร้อมกับสายลมด้วย พอดีพี่เติบดับเครื่องยนต์ เอื้อมมือมาขอเหล้าบ้าง…แกยกขึ้ นเทใส่ปากหลายอึกก่อนจะส่งคืนผม “รออยู่นี่นะโว้ย เดี๋ยวกูมา” ว่าแล้วก็ผลักประตูรถออกเดินดุ่ มๆ ไปสู่สะพานข้ามคลอง บ้านเมียคนใหม่คือจุดหมายปลายทา ง พักใหญ่ก็หายลับไปจากสายตา ผมกระเดือกน้ำลาย เหลียวซ้ายแลขวา นึกแช่งชักตัวเองที่ไม่ยอมเมาซั กที…ไม่ช้าก็หันไปเจอภาพสยองเข้ าเต็มเปา!
นั่นคือร่างของอมนุษย์สูงลิบลิ่ วราวต้นตาล เดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ พลางส่งเสียงวี้ดๆๆ ไปด้วย มือทั้งสองข้างใหญ่เท่าใบลานเพร าะบาปกรรมที่เคยทุบตีพ่อแม่ในชา ติก่อน มัน “ซาวมือ” เข้ามาหาผมดังแกรกๆ จนผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หลับหูหลับตากรอกเหล้าลงคอชนิดไ ม่ยับยั้ง หมาเจ้ากรรมก็ดันหอนโจ๋วขึ้นมาด ังบาดใจชะมัด กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที ่จนผมแทบจะคลั่งใจตาย!
“โอ๊ย! เมื่อไหร่จะมาซักทีโว้ย?” ผมร้องตะโกนด้วยความอัดอั้น ครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นพี่เติบเดินจ้ำเข้ามาหา พอขึ้นรถก็หันมาขอเหล้าผมอีก…คร าวนี้กดพรวดเดียวหมดขวด กว่าจะขับรถออกไปได้ “ไม่รู้ว่าเมียกูนึกยังไง” แกโพล่งออกมา “บอกว่าให้ระวังตัวหน่อย แถวนี้มีเปรตด้วยว่ะ…ขำตายละ!” ผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจ ุกลำคอ หันไปมองข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ…ภ าพอสุรกายสูงโย่งเย่งส่งเสียงวี ้ดๆๆ ขอส่วนบุญค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีจนกระทั่งลับตา!
กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเช้า-เย็น วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง จนกว่าเหงื่อจะซึมแผ่นหลัง ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกม
เปรตปากน้ำ
เปรตปากน้ำ
พูดแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัย
พูดก็พูดเถอะ คำว่ารถยนต์นี่ยังเป็นเสน่ห์ของ
ท้องฟ้าสะพรั่งไปด้วยดวงดาวเมื่
นั่นคือ ตาลดำๆ สองต้นกำลังโยกเยกไปมา ท่าทางเหมือนเป็นขาที่กำลังจะก้
นั่นคือร่างของอมนุษย์สูงลิบลิ่
“โอ๊ย! เมื่อไหร่จะมาซักทีโว้ย?” ผมร้องตะโกนด้วยความอัดอั้น ครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นพี่เติบเดินจ้ำเข้ามาหา พอขึ้นรถก็หันมาขอเหล้าผมอีก…คร
โลกหลังความตาย
โลกหลังความตายจะมีสภาพเป็นอย่า งไรนั้น ดิฉันเองก็สุดรู้ แต่เชื่อค่ะว่ามีจริงแน่ๆ ลองฟังจากเรื่องราวที่ดิฉันประส บมาซิคะ
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันยังเป็นนักศึกษาปี 2 มีพี่สาวที่เพิ่งจบปริญญาและเข้ าทำงานในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ ่ง พี่อ้อยเป็นคนสวยมากค่ะ ไม่ทันไรเธอก็ได้เพื่อนใหม่ทั้ง หญิงทั้งชาย พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พี่วิ" ซึ่งเป็นผู้หญิงสุดเก๋ ดิฉันชอบมาก
พี่วิมาบ้านเราบ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ก็ว่าได้...และแล้ ววันหนึ่งพี่วิก็ชวนเราไปเที่ยว บ้านของเธอที่นครนายก เราวางแผนจะไปเที่ยวน้ำตกกันด้ว ย
วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว คือเสาร์ อาทิตย์ จันทร์...เราเดินทางไปเที่ยวและ ค้างคืนที่บ้านพี่วิ วันแรกสนุกมากค่ะ เราไปกัน 5 คน คือ ดิฉัน พี่อ้อย พี่วิ และผู้ชายอีก 2 คน คือพี่แมน น้องชายพี่วิ และพี่โอ๊ต แฟนของพี่วิค่ะ
ต้องขอบอกหน่อยว่า พี่แมนกับดิฉันปิ๊งกันมาก่อน!
คราวที่พี่แมนมากับพี่วิเมื่อรา ว 2-3 เดือนที่แล้ว เรื่องนี้พี่อ้อยกับพี่วิดูออก แต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไร กลับชอบอกชอบใจด้วยซ้ำ ฉะนั้นการไปเที่ยวคราวนี้ดิฉันจ ึงรู้สึกแช่มชื่นมากเชียวละ...
วันอาทิตย์เรานั่งรถพี่วิไปน้ำต กกัน มีดิฉันนั่งข้างคู่กับคนขับ ซึ่งก็คือพี่โอ๊ต หลังเบาะคือพี่อ้อย ที่วิและพี่แมนนั่งชิดหน้าต่างห ลังคนขับ ดิฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวตลอดเวล า เพราะพี่แมนแทบไม่วางตาจากดิฉัน เลย...ตอนนั้นโลกเป็นสีชมพู ไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่าอีกไม่กี่ อึดใจข้างหน้าโลกจะกลายเป็นสีเล ือด!
อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ในจังห วะที่เราเผลอ เราไม่เคยคิดหรอกค่ะว่ามันจะเกิ ดขึ้นกับเรา พริบตาเดียวทุกอย่างพลิกผันหมดส ิ้น
ดิฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันเกิดอ ะไรขึ้น จำได้แต่ว่าเพลงจากซีดีที่เปิดใ นรถยนต์เป็นเพลงโปรดของดิฉัน... และนาทีนั้นดิฉันกำลังหันไปคุยห ยอกล้อกับพี่แมน เสียงหัวเราะของเราถูกแทรกด้วยเ สียงร้องอย่างตกใจของพี่โอ๊ต ดิฉันหันกลับโดยสัญชาตญาณ...แล้ วโลกก็พังทลายในพริบตานั้นเอง!
ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คือไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย...
เท่าที่จำได้ก็คือเสียงกึกก้องก ัมปนาท โลกมืดวูบ แล้วเป็นสีแดงวาบ ตัวเองถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็น จับเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาล ใบหน้ากระแทกกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่เจ็บเลยค่ะ...ไม่เจ็บจนนิดเด ียว! ดิฉันรับรู้แต่แรงกระแทก แล้วสติก็ดับไปวูบหนึ่ง
เมื่อลืมตาขึ้น ดิฉันกำลังซบหน้าอยู่กับแผงคอนโ ซล อยากขยับตัวแต่ก็ขยับแทบไม่ได้ อยากร้องเรียกพี่อ้อยแต่เสียงมั นไม่ออกมา...มับตีบตันอยู่ที่ลำ คอ แล้วดิฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าจุกแน ่นจนหายใจแทบไม่ออก...
ในที่สุดก็ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเ อง ใบหน้าด้านซ้ายบวมมาก ชาหนึบ และมีของเหลวเหนียวๆ อุ่นๆ...เลือดน่ะซีคะ!
แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันแทบหมดสติไ ปอีกครั้ง คือภาพที่พี่โอ๊ตถูกอัดติดกับพว งมาลัย ใบหน้าเขาตะแคงไปทางขวาง ลำตัวมีแต่เลือด...เลือดแดงฉานส ่งกลิ่นคาวคลุ้ง รถทางซีกคนขับทั้งแถวยับเยินอย่ างหนัก ดิฉันเหลียวไปมองเห็นพี่แมนนอนห งายกับเบาะ ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้าถึงหน้าอกแหลกเหลว...มองเ กือบไม่ออกว่าร่างนี้เคยเป็นมนุ ษย์!
อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดจากรถกร ะบะวิ่งสวนทางเกิดเบรกแตก ถลาถาโถมเข้ามาชนกับรถของเรา พี่โอ๊ต พี่แมนเสียชีวิตทันที พี่อ้อยและพี่วิต่างบาดเจ็บกันไ ม่มากนัก ดิฉันหนักหน่อย...แทบไม่น่าเชื่ อว่าเรา 3 คนจะรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ดิฉันมีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและใบห น้า ซี่โครงหัก 2 ซี แขนซ้ายหัก พี่อ้อยแค่หัวโน และฟกช้ำดำเขียวเช่นเดียวกับพี่ วิ ดิฉันเป็นคนเดียวที่ต้องนอนโรงพ ยาบาล เพื่อรักษาตัวและดูอาการ เพราะมันบอบช้ำไปหมด
วันแรกดิฉันแทบไม่รู้ว่าตัวเองเ จ็บตรงไหนบ้าง แต่วันต่อมามันก็ปวดร้าวไปทั้งต ัว และง่วงงุนตลอดเวลา แทบไม่รู้ว่ามีใครต่อใครเข้ามาเ ยี่ยมกันบ้าง
ดวงหน้าของพ่อแม่ลอยเข้ามาหาแล้ วก็ถอยออกไป...พี่อ้อยชะโงกเข้า มาพูดจาแล้วก็เลือนหาย...จากนั้ นก็เป็นเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย ดิฉันไม่รู้อันไหนจริงอันไหนฝัน ?
และนั่น...พี่โอ๊ตกับพี่แมน เขาก็มาเยี่ยมดิฉันด้วย!!
เขาทั้งคู่ยังไม่ตายเหรอ? งั้นสภาพร่างไร้วิญญาณที่แหลกเห ลวนั่นดิฉันก็คิดไปเองซิคะ? ดูซิ! พี่โอ๊ตยิ้ม...พี่แมนก็ยิ้มด้วย นัยน์ตาพราวเชียว
ดิฉันเห็นเขาทั้งคู่ยืนอยู่ข้าง เตียง ขณะที่คุณพ่อคุณแม่และพี่อ้อยก็ ยืนอยู่ด้วย...คนตายยืนกับคนเป็ นได้อย่างไรกัน? ดิฉันคิดอยู่เช่นนั้นแล้วก็หลับ ไปอีกครั้ง...เป็นการหลับไหลที่ ยาวนาน...และเมื่อตื่นขึ้นมาอีก ครั้งดิฉันก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ
พี่อ้อยกับพี่วิเล่าถึงการตายขอ งพี่โอ๊ตกับพี่แมน พี่วิเศร้ามาก เธอรักน้องชายเธอมากนี่คะ พี่โอ๊ตก็เป็นคนรักของเธอ บางทีพี่วิจะน้ำตาไหลพราก เหม่อซึมเลื่อนลอย
ดิฉันจับมือเธอขึ้นมา และเล่าว่าอย่าโศกเศร้าทรมานใจไ ปเลย พี่โอ๊ตกับพี่แมนมาหาดิฉันในสภา พปกติ และดูมีความสุขทั้งคู่! พี่อ้อยกับหลายๆ คนที่มาเยี่ยมดิฉันยืนยันปรากฏก ารณ์นั้นได้ พวกเขาไม่ได้เห็นวิญญาณแต่ต่างก ็บอกว่าได้กลิ่น...บางคนได้กลิ่ นเลือด บางคนได้กลิ่นโคโลญจ์ผู้ชาย
ดิฉันเชื่อสนิทว่าพวกเขามาหา และดิฉันไม่กลัวเลย กลับสบายใจที่รู้ว่าโลกหลังความ ตายมีจริง...ชีวิตยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าร่างกายจะแหลกสลาย!
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันยังเป็นนักศึกษาปี 2 มีพี่สาวที่เพิ่งจบปริญญาและเข้
พี่วิมาบ้านเราบ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ก็ว่าได้...และแล้
วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว คือเสาร์ อาทิตย์ จันทร์...เราเดินทางไปเที่ยวและ
ต้องขอบอกหน่อยว่า พี่แมนกับดิฉันปิ๊งกันมาก่อน!
คราวที่พี่แมนมากับพี่วิเมื่อรา
วันอาทิตย์เรานั่งรถพี่วิไปน้ำต
อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ในจังห
ดิฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันเกิดอ
ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คือไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย...
เท่าที่จำได้ก็คือเสียงกึกก้องก
เมื่อลืมตาขึ้น ดิฉันกำลังซบหน้าอยู่กับแผงคอนโ
ในที่สุดก็ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเ
แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันแทบหมดสติไ
อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดจากรถกร
ดิฉันมีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและใบห
วันแรกดิฉันแทบไม่รู้ว่าตัวเองเ
ดวงหน้าของพ่อแม่ลอยเข้ามาหาแล้
และนั่น...พี่โอ๊ตกับพี่แมน เขาก็มาเยี่ยมดิฉันด้วย!!
เขาทั้งคู่ยังไม่ตายเหรอ? งั้นสภาพร่างไร้วิญญาณที่แหลกเห
ดิฉันเห็นเขาทั้งคู่ยืนอยู่ข้าง
พี่อ้อยกับพี่วิเล่าถึงการตายขอ
ดิฉันจับมือเธอขึ้นมา และเล่าว่าอย่าโศกเศร้าทรมานใจไ
ดิฉันเชื่อสนิทว่าพวกเขามาหา และดิฉันไม่กลัวเลย กลับสบายใจที่รู้ว่าโลกหลังความ
ผีเด็กในโรงแรม
เรื่องนี้ผ่านมาประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน 7 คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย
การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเ ช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเท ี่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน
ผีเด็กในโรงแรม
ผีเด็กในโรงแรม
จนกระทั่งใกล้ จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกล ับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็ นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ “ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!” เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้ น
และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุก สนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาด ผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม ่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง
น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใ คร เจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปก ลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของ สถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่ง ใจ
แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่อ งคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผ ู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันก ันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู ่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ ามาเกยไว้บน ไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก ้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพรา ะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้ กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกค นมานั่งเป็นเพื่อนทันที
เรื่องยังไม่ จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเ ดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื ่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดีย วกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะ ต้องเคลียร์ งานกันในห้อง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยั งสถานที่ทำงานจึงเดิน ออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้า ไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันห มด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผ ู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี
ฉันจึง ตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไ ม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร ้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้อง มาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดปร ะตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลง มาข้างล่างทันที
สี่วันผ่านไปอย่าง ร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เ คยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจ ึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเ สียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไ ปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว
การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ
ผีเด็กในโรงแรม
ผีเด็กในโรงแรม
จนกระทั่งใกล้ จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกล
และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุก สนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาด
น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใ
แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่อ
เรื่องยังไม่ จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยั
ฉันจึง ตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไ
สี่วันผ่านไปอย่าง ร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เ
ผีกระสือ
เรื่องเล่า ผีกระสือ
เรื่องนี้มีอยู่ว่า
สมัยก่อนแม่ของเรานั้นอาศัยอยู่กับย่า ดังที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว
บ้านของย่านั้นไม่ค่อยมีฐานะเท่าไหร่ สมัยก่อนยังเป็นฝาจากอยู่
แล้วแม่ก็อยู่บ้านใกล้ ๆ กันกับลูกพี่ลูกน้องของแม่ ซึ่งสมัยนั้นแม่อยู่มัธยมแล้ว
ด้วยความที่เป็นเด็ก และก้อขี้เกียจเดินไปคุยกับลูกพี่ลูกน้อง
จึงใช้วิธีแหวกฝาจากคุยกัน เวลาแหวก ฝาจากก็จะเป็นโพรงและไม่คืนกลับสภาพเดิม
อยู่มาคืนหนึ่ง แม่เข้านอนกับย่า ซึ่งสมัยนั้นยังนอนมุ้ง และ ห้องน้ำอยู่ด้านนอกตัวบ้าน ย่าจึงมีกระโถนฉี่ สำหรับเอาไว้เวลาต้องการเข้าห้องน้ำตอนดึก แม่และย่าเข้านอนตามปกติ แต่แม่ยังไม่หลับ คืนนั้น แม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ทั้งบรรยากาศ และอากาศรอบ ๆ ตัว แต่แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งแม่เคลิ้ม ๆ จะหลับนั้นเอง สายตาก็พลันเหลือบมองไปทางฝาจาก ที่แหวกคุยกันกับลูกพี่ลูกน้องทุกวัน
ทันใดนั้น ก้อมีดวงไฟประหลาด ขนาดประมาณเท่าหัวเด็กทารก ลอยเข้ามาทางฝาจากนั้น แม่ตกใจมาก แต่ก้อไม่กล้าร้องออกมา จึงได้แต่นิ่งและมองจ้องดวงไฟดวงนั้นตลอดเวลา ดวงไฟนั้นค่อย ๆ ลอยเอื่อย ๆ มาที่มุ้งของแม่
และลอยไปตรงที่ย่าวางกระโถนฉี่ไว้ ลอยวนไปมาอยู่สองรอบ แม่ทนกลัวไม่ไหว จึงสะกิดย่า ย่าก้อลืมตามาเห็นจึงบอกแม่ว่าเออ ไม่ต้องกลัวอีหนู นั่นมันหิงห้อย
แต่ในใจแม่ไม่สามารถยอมรับได้ว่ามันเป็นหิงห้อย เพราะดวงใหญ่มาก และแม่ก้อรู้จักหิงห้อย แม่จึงเรียกย่าอีกครั้ง คราวนี้แม่ต้องคลุมโปง เพราะแม่เห็นย่า กำลังสวดมนต์อยู่ แม่จึงคิดได้ว่านี่ต้องเป็นกระสือแน่นอน ย่าสวดมนต์สักพัก ดวงไฟดวงนั้น ก้อลอยหายออกไปทางฝาจากที่แม่แหวกไว้
พอรุ่งเช้าแม่ถามย่าว่า เมื่อคืนกระสือใช่ไหม ย่าตอบว่าใช่ เพราะว่าแม่แหวกฝาจากไว้ แล้วผีกระสือคงหิว จึงเข้ามาหาอาจมกิน
ตั้งแต่นั้นมา แม่ก้อไม่แหวกฝาจากคุยกับลูกพี่ลูกน้องอีกเลย
อยู่มาคืนหนึ่ง แม่เข้านอนกับย่า ซึ่งสมัยนั้นยังนอนมุ้ง และ ห้องน้ำอยู่ด้านนอกตัวบ้าน ย่าจึงมีกระโถนฉี่ สำหรับเอาไว้เวลาต้องการเข้าห้องน้ำตอนดึก แม่และย่าเข้านอนตามปกติ แต่แม่ยังไม่หลับ คืนนั้น แม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ทั้งบรรยากาศ และอากาศรอบ ๆ ตัว แต่แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งแม่เคลิ้ม ๆ จะหลับนั้นเอง สายตาก็พลันเหลือบมองไปทางฝาจาก ที่แหวกคุยกันกับลูกพี่ลูกน้องทุกวัน
ทันใดนั้น ก้อมีดวงไฟประหลาด ขนาดประมาณเท่าหัวเด็กทารก ลอยเข้ามาทางฝาจากนั้น แม่ตกใจมาก แต่ก้อไม่กล้าร้องออกมา จึงได้แต่นิ่งและมองจ้องดวงไฟดวงนั้นตลอดเวลา ดวงไฟนั้นค่อย ๆ ลอยเอื่อย ๆ มาที่มุ้งของแม่
และลอยไปตรงที่ย่าวางกระโถนฉี่ไว้ ลอยวนไปมาอยู่สองรอบ แม่ทนกลัวไม่ไหว จึงสะกิดย่า ย่าก้อลืมตามาเห็นจึงบอกแม่ว่าเออ ไม่ต้องกลัวอีหนู นั่นมันหิงห้อย
แต่ในใจแม่ไม่สามารถยอมรับได้ว่ามันเป็นหิงห้อย เพราะดวงใหญ่มาก และแม่ก้อรู้จักหิงห้อย แม่จึงเรียกย่าอีกครั้ง คราวนี้แม่ต้องคลุมโปง เพราะแม่เห็นย่า กำลังสวดมนต์อยู่ แม่จึงคิดได้ว่านี่ต้องเป็นกระสือแน่นอน ย่าสวดมนต์สักพัก ดวงไฟดวงนั้น ก้อลอยหายออกไปทางฝาจากที่แม่แหวกไว้
พอรุ่งเช้าแม่ถามย่าว่า เมื่อคืนกระสือใช่ไหม ย่าตอบว่าใช่ เพราะว่าแม่แหวกฝาจากไว้ แล้วผีกระสือคงหิว จึงเข้ามาหาอาจมกิน
ตั้งแต่นั้นมา แม่ก้อไม่แหวกฝาจากคุยกับลูกพี่ลูกน้องอีกเลย
ผีบ้านผีเรือน
ผีบ้านผีเรือน มีลักษณะต่างจากผีทั่วไป คือจะอยู่ในรูปของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าบ้านเคารพกราบไหว้ จะคอยคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน ในสังคมไทยเมื่อถึงเทศกาลเช่นปีใหม่หรือวันเกิด เจ้าบ้านที่มีความเชื่อจะทำการเซ่นไหว้ เชื่อว่ามีลักษณะรูปร่างจะเหมือนคนปกติ ใส่ชุดไทย บ้างก็ว่าผีบ้านคือผีประจำหมู่บ้าน ส่วนผีเรือนก็คือผีประจำเหย้าเรือน และเรียกรวมกันว่าผีบ้านผีเรือน
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ผีในสวน
ผีในสวน
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นเรืองของคุณตาท่านหนึ่งเป็นเจ้าของสวนส้ม ซึ่งอยู่ติดกับที่พักของผม ปกติแล้วเขาหวงสวนเขามากไม่อยากให้ใคร ๆ เข้าเล่นเลย ทั้งด่า ทั้งไล่ วันที่เกิดเหตุวันนั้นเขาป่วยตาย ญาติ ๆ ที่มาจากที่อื่น ๆ ก็พากันเอาศพออกจากสวน ซึ่งมันจะผ่านหน้าบ้านผม วันนั้นผม น้อง และเพื่อน ๆ นั่งเล่นกันอยู่ เห็นเขาหามศพ มีญาติ ๆ เดินกันเป็นแถว คงจะไปไว้วัดเพราะมีพระเดินนำอยู่ แต่เพื่อน ๆ ครับเมื่อขบวนแถวผ่านหน้าบ้านผมไปหมดแล้ว ไม่กี่อึดใจ พวกเราทั้งหมดก็ตกตะลึง ! เพราะเห็นคุณตาท่านนั้น เดินกลับเข้าสวนส้มเหมือนเดิมอย่างช้า ๆ ผมเองไม่เชื่อก็เลยปีนรั้วมองเข้าไปในสวนอีกที แต่ก็ไม่เห็นเขาแล้วครับ จากนั้นมาไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปเล่นในสวนอีกเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)