วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เปรตที่ปากน้ำ

“สมชาย” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปากน้ำแม่กลอง ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังไม่ถึงกับแก่ อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดอะไรมาก นักกีฬาทีมชาติบางท่านอายุตั้ง 55-56 ปีแล้ว มาออกทีวีเห็นแล้วยังตกใจ…ขนาดท่านอาวุโสกว่าผมเกือบ 10 ปียังดูหนุ่มกว่าผมซะด้วยซ้ำไป!

กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเช้า-เย็น วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง จนกว่าเหงื่อจะซึมแผ่นหลัง ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาอย่าสูบบุหรี่ เพราะควันพิษทำให้เกิดโรคร้ายได้เป็นร้อย! อย่าดื่มสุรา…แอลกอฮอล์วันละ 1-2 แก้วอาจจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดี เกิดความกระปรี้กระเปร่า หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ผมว่าอย่าไปข้องแวะกับน้ำเมาดีกว่า เพราะดื่มเข้าไปแก้วสองแก้วแล้ว มักจะติดลม เตลิดไปเป็นกั๊กเป็นแบน หรือกลายเป็นกลมได้ง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด แอลกอฮอล์ก็จะไปสะกดต่อมสามัญสำนึก หรือความรู้สึกรับผิดชอบให้หยุดทำงาน ที่ว่ากินเหล้าแล้วไม่อายก็เพราะพิษสงของไอ้ต่อมนี้เอง!

เปรตปากน้ำ
เปรตปากน้ำ
พูดแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยวัยรุ่น ยอมรับว่าแสบสันต์ตามยุคตามสมัยพอๆ กับสมัยนี้แหละน่า แต่ไม่ถึงกับยกโขยงมายึดถนนแข่งมฤตยู หนวกหูชาวบ้าน จนเขาแช่งชักหักกระดูกไปถึงพ่อถึงแม่โน่นแน่ะ ตอนนั้นผมยังอยู่บางบอนครับ เคยเล่ามาแล้วว่าสมัยก่อนยังเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวเพิ่งจะสร้างถนนขึ้นหยกๆ คนมีเงินเริ่มซื้อรถเก๋งรถกระบะออกมาฉุยฉายใช้สอยกันหนาตาขึ้นทุกที ใครค้าขายก็ได้รถนี่แหละช่วยให้เดินทางไปซื้อขายได้สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิม

พูดก็พูดเถอะ คำว่ารถยนต์นี่ยังเป็นเสน่ห์ของผู้ชาย เป็นแม่แรงดึงดูดผู้หญิงให้เข้ามาหาได้ทุกยุคทุกสมัย…ผมเองยังวัยรุ่นที่เที่ยวเตร่ไปวันๆ ไม่มีปัญญาซื้อรถเก๋งหรือรถกระบะกับเขาหรอกครับ แต่ก็ได้อาศัยขึ้นรถไปเที่ยวกับพี่เติบแกบ่อยๆ รายนี้รูปหล่อพ่อรวย แถมจีบผู้หญิงเก่งอีกต่างหาก!! มีแฟนอยู่ที่บางบอน 2-3 คนยังไม่พอ พี่เติบไปได้แฟนคนใหม่ถึงปากน้ำแม่กลองโน่นแน่ะ…ผมติดรถแกไปซื้อของสวนมาขายส่งมั่ง ไปเที่ยวหาน้ำตาลกินมั่ง จะเมามายแค่ไหนไม่ต้องห่วง เพราะพี่เติบคอแข็งใจแข็ง แม้ว่าจะเป็น “ขาหญิง-ขาเมา” แต่นิสัยใจคอออกลูกนักเลงได้การคืนนั้นเราไปบ้านเมียใหม่พี่เติบโดยไม่ได้ตั้งใจ…เพราะความเมาแท้ๆ ที่ทำให้พี่เติบกับผมไปซื้อของที่นครปฐม แล้วแวะหาอะไรกินกันคนละแบนใหญ่ จะออกรถมุ่งหน้าไปปากน้ำแม่กลองยังอุตส่าห์ซื้อติดรถไปอีกต่างหาก

ท้องฟ้าสะพรั่งไปด้วยดวงดาวเมื่อเราไปจอดรถอยู่ใกล้ๆ วัดประจันตคาม ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นทะมึนขึ้นไปบนฟ้า สายลมพัดโชยมาเยือกเย็น สรรพสิ่งเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ…มองเห็นเจดีย์สีคล้ำเสียดยอดอยู่ใกล้กำแพงวัด ผมรู้สึกเยือกเย็นอยู่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก พิษเหล้าก็ดูเหมือนจะหายไปเกือบหมดสิ้น หยิบขวดใหม่มาเปิดฝา แหงนหน้ากรอกเหล้าลงคอพลั่กๆ เพื่อเติมความหาญกล้าให้ตัวเองซักเล็กน้อย…ขณะที่ใช้หลังมือปาดเหล้าที่มุมปากก็พอดีมองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา…

นั่นคือ ตาลดำๆ สองต้นกำลังโยกเยกไปมา ท่าทางเหมือนเป็นขาที่กำลังจะก้าวเดินอย่างนั้นแหละ แว่วเสียงวี้ดๆๆ มาพร้อมกับสายลมด้วย พอดีพี่เติบดับเครื่องยนต์ เอื้อมมือมาขอเหล้าบ้าง…แกยกขึ้นเทใส่ปากหลายอึกก่อนจะส่งคืนผม “รออยู่นี่นะโว้ย เดี๋ยวกูมา” ว่าแล้วก็ผลักประตูรถออกเดินดุ่มๆ ไปสู่สะพานข้ามคลอง บ้านเมียคนใหม่คือจุดหมายปลายทาง พักใหญ่ก็หายลับไปจากสายตา ผมกระเดือกน้ำลาย เหลียวซ้ายแลขวา นึกแช่งชักตัวเองที่ไม่ยอมเมาซักที…ไม่ช้าก็หันไปเจอภาพสยองเข้าเต็มเปา!

นั่นคือร่างของอมนุษย์สูงลิบลิ่วราวต้นตาล เดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ พลางส่งเสียงวี้ดๆๆ ไปด้วย มือทั้งสองข้างใหญ่เท่าใบลานเพราะบาปกรรมที่เคยทุบตีพ่อแม่ในชาติก่อน มัน “ซาวมือ” เข้ามาหาผมดังแกรกๆ จนผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หลับหูหลับตากรอกเหล้าลงคอชนิดไม่ยับยั้ง หมาเจ้ากรรมก็ดันหอนโจ๋วขึ้นมาดังบาดใจชะมัด กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่จนผมแทบจะคลั่งใจตาย!

“โอ๊ย! เมื่อไหร่จะมาซักทีโว้ย?” ผมร้องตะโกนด้วยความอัดอั้น ครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นพี่เติบเดินจ้ำเข้ามาหา พอขึ้นรถก็หันมาขอเหล้าผมอีก…คราวนี้กดพรวดเดียวหมดขวด กว่าจะขับรถออกไปได้ “ไม่รู้ว่าเมียกูนึกยังไง” แกโพล่งออกมา “บอกว่าให้ระวังตัวหน่อย แถวนี้มีเปรตด้วยว่ะ…ขำตายละ!” ผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกลำคอ หันไปมองข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ…ภาพอสุรกายสูงโย่งเย่งส่งเสียงวี้ดๆๆ ขอส่วนบุญค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีจนกระทั่งลับตา!

โลกหลังความตาย

โลกหลังความตายจะมีสภาพเป็นอย่างไรนั้น ดิฉันเองก็สุดรู้ แต่เชื่อค่ะว่ามีจริงแน่ๆ ลองฟังจากเรื่องราวที่ดิฉันประสบมาซิคะ

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันยังเป็นนักศึกษาปี 2 มีพี่สาวที่เพิ่งจบปริญญาและเข้าทำงานในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง พี่อ้อยเป็นคนสวยมากค่ะ ไม่ทันไรเธอก็ได้เพื่อนใหม่ทั้งหญิงทั้งชาย พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พี่วิ" ซึ่งเป็นผู้หญิงสุดเก๋ ดิฉันชอบมาก

พี่วิมาบ้านเราบ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ก็ว่าได้...และแล้ววันหนึ่งพี่วิก็ชวนเราไปเที่ยวบ้านของเธอที่นครนายก เราวางแผนจะไปเที่ยวน้ำตกกันด้ว

วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว คือเสาร์ อาทิตย์ จันทร์...เราเดินทางไปเที่ยวและค้างคืนที่บ้านพี่วิ วันแรกสนุกมากค่ะ เราไปกัน 5 คน คือ ดิฉัน พี่อ้อย พี่วิ และผู้ชายอีก 2 คน คือพี่แมน น้องชายพี่วิ และพี่โอ๊ต แฟนของพี่วิค่ะ

ต้องขอบอกหน่อยว่า พี่แมนกับดิฉันปิ๊งกันมาก่อน!

คราวที่พี่แมนมากับพี่วิเมื่อราว 2-3 เดือนที่แล้ว เรื่องนี้พี่อ้อยกับพี่วิดูออก แต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไร กลับชอบอกชอบใจด้วยซ้ำ ฉะนั้นการไปเที่ยวคราวนี้ดิฉันจึงรู้สึกแช่มชื่นมากเชียวละ...

วันอาทิตย์เรานั่งรถพี่วิไปน้ำตกกัน มีดิฉันนั่งข้างคู่กับคนขับ ซึ่งก็คือพี่โอ๊ต หลังเบาะคือพี่อ้อย ที่วิและพี่แมนนั่งชิดหน้าต่างหลังคนขับ ดิฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวตลอดเวลา เพราะพี่แมนแทบไม่วางตาจากดิฉันเลย...ตอนนั้นโลกเป็นสีชมพู ไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าโลกจะกลายเป็นสีเลือด!

อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ในจังหวะที่เราเผลอ เราไม่เคยคิดหรอกค่ะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา พริบตาเดียวทุกอย่างพลิกผันหมดสิ้น

ดิฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จำได้แต่ว่าเพลงจากซีดีที่เปิดในรถยนต์เป็นเพลงโปรดของดิฉัน...และนาทีนั้นดิฉันกำลังหันไปคุยหยอกล้อกับพี่แมน เสียงหัวเราะของเราถูกแทรกด้วยเสียงร้องอย่างตกใจของพี่โอ๊ต ดิฉันหันกลับโดยสัญชาตญาณ...แล้วโลกก็พังทลายในพริบตานั้นเอง!

ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คือไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย...

เท่าที่จำได้ก็คือเสียงกึกก้องกัมปนาท โลกมืดวูบ แล้วเป็นสีแดงวาบ ตัวเองถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจับเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาล ใบหน้ากระแทกกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่เจ็บเลยค่ะ...ไม่เจ็บจนนิดเดียว! ดิฉันรับรู้แต่แรงกระแทก แล้วสติก็ดับไปวูบหนึ่ง

เมื่อลืมตาขึ้น ดิฉันกำลังซบหน้าอยู่กับแผงคอนโซล อยากขยับตัวแต่ก็ขยับแทบไม่ได้ อยากร้องเรียกพี่อ้อยแต่เสียงมันไม่ออกมา...มับตีบตันอยู่ที่ลำคอ แล้วดิฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าจุกแน่นจนหายใจแทบไม่ออก...

ในที่สุดก็ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเอง ใบหน้าด้านซ้ายบวมมาก ชาหนึบ และมีของเหลวเหนียวๆ อุ่นๆ...เลือดน่ะซีคะ!

แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันแทบหมดสติไปอีกครั้ง คือภาพที่พี่โอ๊ตถูกอัดติดกับพวงมาลัย ใบหน้าเขาตะแคงไปทางขวาง ลำตัวมีแต่เลือด...เลือดแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้ง รถทางซีกคนขับทั้งแถวยับเยินอย่างหนัก ดิฉันเหลียวไปมองเห็นพี่แมนนอนหงายกับเบาะ ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้าถึงหน้าอกแหลกเหลว...มองเกือบไม่ออกว่าร่างนี้เคยเป็นมนุษย์!

อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดจากรถกระบะวิ่งสวนทางเกิดเบรกแตก ถลาถาโถมเข้ามาชนกับรถของเรา พี่โอ๊ต พี่แมนเสียชีวิตทันที พี่อ้อยและพี่วิต่างบาดเจ็บกันไม่มากนัก ดิฉันหนักหน่อย...แทบไม่น่าเชื่อว่าเรา 3 คนจะรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

ดิฉันมีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและใบหน้า ซี่โครงหัก 2 ซี แขนซ้ายหัก พี่อ้อยแค่หัวโน และฟกช้ำดำเขียวเช่นเดียวกับพี่วิ ดิฉันเป็นคนเดียวที่ต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อรักษาตัวและดูอาการ เพราะมันบอบช้ำไปหมด

วันแรกดิฉันแทบไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนบ้าง แต่วันต่อมามันก็ปวดร้าวไปทั้งตัว และง่วงงุนตลอดเวลา แทบไม่รู้ว่ามีใครต่อใครเข้ามาเยี่ยมกันบ้าง

ดวงหน้าของพ่อแม่ลอยเข้ามาหาแล้วก็ถอยออกไป...พี่อ้อยชะโงกเข้ามาพูดจาแล้วก็เลือนหาย...จากนั้นก็เป็นเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย ดิฉันไม่รู้อันไหนจริงอันไหนฝัน?

และนั่น...พี่โอ๊ตกับพี่แมน เขาก็มาเยี่ยมดิฉันด้วย!!

เขาทั้งคู่ยังไม่ตายเหรอ? งั้นสภาพร่างไร้วิญญาณที่แหลกเหลวนั่นดิฉันก็คิดไปเองซิคะ? ดูซิ! พี่โอ๊ตยิ้ม...พี่แมนก็ยิ้มด้วยนัยน์ตาพราวเชียว

ดิฉันเห็นเขาทั้งคู่ยืนอยู่ข้างเตียง ขณะที่คุณพ่อคุณแม่และพี่อ้อยก็ยืนอยู่ด้วย...คนตายยืนกับคนเป็นได้อย่างไรกัน? ดิฉันคิดอยู่เช่นนั้นแล้วก็หลับไปอีกครั้ง...เป็นการหลับไหลที่ยาวนาน...และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งดิฉันก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ

พี่อ้อยกับพี่วิเล่าถึงการตายของพี่โอ๊ตกับพี่แมน พี่วิเศร้ามาก เธอรักน้องชายเธอมากนี่คะ พี่โอ๊ตก็เป็นคนรักของเธอ บางทีพี่วิจะน้ำตาไหลพราก เหม่อซึมเลื่อนลอย

ดิฉันจับมือเธอขึ้นมา และเล่าว่าอย่าโศกเศร้าทรมานใจไปเลย พี่โอ๊ตกับพี่แมนมาหาดิฉันในสภาพปกติ และดูมีความสุขทั้งคู่! พี่อ้อยกับหลายๆ คนที่มาเยี่ยมดิฉันยืนยันปรากฏการณ์นั้นได้ พวกเขาไม่ได้เห็นวิญญาณแต่ต่างก็บอกว่าได้กลิ่น...บางคนได้กลิ่นเลือด บางคนได้กลิ่นโคโลญจ์ผู้ชาย

ดิฉันเชื่อสนิทว่าพวกเขามาหา และดิฉันไม่กลัวเลย กลับสบายใจที่รู้ว่าโลกหลังความตายมีจริง...ชีวิตยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าร่างกายจะแหลกสลาย!

ผีเด็กในโรงแรม

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน 7 คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย

การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน

ผีเด็กในโรงแรม
ผีเด็กในโรงแรม
จนกระทั่งใกล้ จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ “ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!” เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้

และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุก สนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือและยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง

น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใคร เจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ

แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บน ไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที

เรื่องยังไม่ จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์ งานกันในห้อง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดิน ออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี

ฉันจึง ตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที

สี่วันผ่านไปอย่าง ร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว

ผีกระสือ


เรื่องเล่า ผีกระสือ
เรื่องนี้มีอยู่ว่า สมัยก่อนแม่ของเรานั้นอาศัยอยู่กับย่า ดังที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว บ้านของย่านั้นไม่ค่อยมีฐานะเท่าไหร่ สมัยก่อนยังเป็นฝาจากอยู่ แล้วแม่ก็อยู่บ้านใกล้ ๆ กันกับลูกพี่ลูกน้องของแม่ ซึ่งสมัยนั้นแม่อยู่มัธยมแล้ว ด้วยความที่เป็นเด็ก และก้อขี้เกียจเดินไปคุยกับลูกพี่ลูกน้อง จึงใช้วิธีแหวกฝาจากคุยกัน เวลาแหวก ฝาจากก็จะเป็นโพรงและไม่คืนกลับสภาพเดิม 

อยู่มาคืนหนึ่ง แม่เข้านอนกับย่า ซึ่งสมัยนั้นยังนอนมุ้ง และ ห้องน้ำอยู่ด้านนอกตัวบ้าน ย่าจึงมีกระโถนฉี่ สำหรับเอาไว้เวลาต้องการเข้าห้องน้ำตอนดึก แม่และย่าเข้านอนตามปกติ แต่แม่ยังไม่หลับ คืนนั้น แม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ทั้งบรรยากาศ และอากาศรอบ ๆ ตัว แต่แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งแม่เคลิ้ม ๆ จะหลับนั้นเอง สายตาก็พลันเหลือบมองไปทางฝาจาก ที่แหวกคุยกันกับลูกพี่ลูกน้องทุกวัน
 


ทันใดนั้น ก้อมีดวงไฟประหลาด ขนาดประมาณเท่าหัวเด็กทารก ลอยเข้ามาทางฝาจากนั้น แม่ตกใจมาก แต่ก้อไม่กล้าร้องออกมา จึงได้แต่นิ่งและมองจ้องดวงไฟดวงนั้นตลอดเวลา ดวงไฟนั้นค่อย ๆ ลอยเอื่อย ๆ มาที่มุ้งของแม่
 

และลอยไปตรงที่ย่าวางกระโถนฉี่ไว้ ลอยวนไปมาอยู่สองรอบ แม่ทนกลัวไม่ไหว จึงสะกิดย่า ย่าก้อลืมตามาเห็นจึงบอกแม่ว่าเออ ไม่ต้องกลัวอีหนู นั่นมันหิงห้อย
 

แต่ในใจแม่ไม่สามารถยอมรับได้ว่ามันเป็นหิงห้อย เพราะดวงใหญ่มาก และแม่ก้อรู้จักหิงห้อย แม่จึงเรียกย่าอีกครั้ง คราวนี้แม่ต้องคลุมโปง เพราะแม่เห็นย่า กำลังสวดมนต์อยู่ แม่จึงคิดได้ว่านี่ต้องเป็นกระสือแน่นอน ย่าสวดมนต์สักพัก ดวงไฟดวงนั้น ก้อลอยหายออกไปทางฝาจากที่แม่แหวกไว้
 

พอรุ่งเช้าแม่ถามย่าว่า เมื่อคืนกระสือใช่ไหม ย่าตอบว่าใช่ เพราะว่าแม่แหวกฝาจากไว้ แล้วผีกระสือคงหิว จึงเข้ามาหาอาจมกิน
 

ตั้งแต่นั้นมา แม่ก้อไม่แหวกฝาจากคุยกับลูกพี่ลูกน้องอีกเลย
 

ผีบ้านผีเรือน

ผีบ้านผีเรือน มีลักษณะต่างจากผีทั่วไป คือจะอยู่ในรูปของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าบ้านเคารพกราบไหว้ จะคอยคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน ในสังคมไทยเมื่อถึงเทศกาลเช่นปีใหม่หรือวันเกิด เจ้าบ้านที่มีความเชื่อจะทำการเซ่นไหว้ เชื่อว่ามีลักษณะรูปร่างจะเหมือนคนปกติ ใส่ชุดไทย บ้างก็ว่าผีบ้านคือผีประจำหมู่บ้าน ส่วนผีเรือนก็คือผีประจำเหย้าเรือน และเรียกรวมกันว่าผีบ้านผีเรือน

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผีในสวน

ผีในสวน

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นเรืองของคุณตาท่านหนึ่งเป็นเจ้าของสวนส้ม ซึ่งอยู่ติดกับที่พักของผม ปกติแล้วเขาหวงสวนเขามากไม่อยากให้ใคร ๆ เข้าเล่นเลย ทั้งด่า ทั้งไล่ วันที่เกิดเหตุวันนั้นเขาป่วยตาย ญาติ ๆ ที่มาจากที่อื่น ๆ ก็พากันเอาศพออกจากสวน ซึ่งมันจะผ่านหน้าบ้านผม วันนั้นผม น้อง และเพื่อน ๆ นั่งเล่นกันอยู่ เห็นเขาหามศพ มีญาติ ๆ เดินกันเป็นแถว คงจะไปไว้วัดเพราะมีพระเดินนำอยู่ แต่เพื่อน ๆ ครับเมื่อขบวนแถวผ่านหน้าบ้านผมไปหมดแล้ว ไม่กี่อึดใจ พวกเราทั้งหมดก็ตกตะลึง ! เพราะเห็นคุณตาท่านนั้น เดินกลับเข้าสวนส้มเหมือนเดิมอย่างช้า ๆ ผมเองไม่เชื่อก็เลยปีนรั้วมองเข้าไปในสวนอีกที แต่ก็ไม่เห็นเขาแล้วครับ จากนั้นมาไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปเล่นในสวนอีกเลย